"โรคไต" ไม่มีใครอยากฟอก!!!
ไม่อยากเปลืองเงิน ไม่อยากเป็นภาระ

สำหรับผู้ป่วยโรคไต การควบคุมอาหารถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง วันนี้เราจะมาแนะนำเรื่องอาการที่คนเป็นโรคไตห้ามกิน คนป่วยเป็นโรคไตกินอะไรได้บ้าง อาหาร ผัก ผลไม้อะไรที่ช่วยบำรุงไต วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ
แต่ว่าก่อนอื่นเราไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง "ไต" กันก่อนนะคะ ^_^
ปรึกษาปัญหาโรคไตฟรี!!!


**ผลลัพธ์ที่ได้อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล**
>> อ่านบทความ "ค่าใช้จ่ายในการฟอกไต" กดตรงนี้ได้เลย <<

ไตเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย จะปล่อยให้ไตเสื่อมเสียหมดหรือตัดออกหมดไม่ได้ ถ้าหน้าที่ของไตเสียหมด และไม่มีสิ่งที่จะมาทำหน้าที่ทดแทน เราจะถึงแก่ความตาย สิ่งที่จะมาทำหน้าที่ทดแทนไตในปัจจุบันก็คือ การฟอกเลือดโดยใช้เครื่องไตเทียม (Hamodialysis-HD) การล้างไตทางช่องท้อง (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis- CAPD) และการปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation-KT)
ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) เพื่อลดการคั่งของน้ำละของเสีย ในระหว่างการฟอกเลือดจะทำให้สูญเสียโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะโปรตีน ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตอย่างถูกวิธีเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ และลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่อาจเกิดขึ้น
👉รับประทานเนื้อสัตว์ เนื้อปลา มื้อละ 3-4 ช้อนกินข้าว เลือกชนิดไม่ติดมัน และหนัง ไข่ขาววันละ 2-3 ฟอง เลือกใช้น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันมะกอก ในการประกอบอาหาร
👉รับประทานอาหารจำพวกแป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ให้เพียงพอทุกมื้อ
👉หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม ไม่เติมเกลือ น้ำปลา ซอส เพิ่มเติมในอาหาร
👉หลีกเลี่ยงของหมักดอง เช่น ไข่เค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักกาดดอง รวมถึงอาหารแปรรูป ได้แก่ ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง แฮม ปลากระป๋อง ของขบเคี้ยวประเภทซองทุกชนิด
👉หลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องในสัตว์ ไข่แดง เมล็ดถั่ว กาแฟ งา ช็อกโกแลต มะม่วงหิมพานต์
👉หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลหรือไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไข่แดง ปลาหมึก ไข่ปลา หอยนางรม มันกุ้ง ขาหมู หนังหมู หนังเป็ดปักกิ่ง หมูกรอบ หมู 3 ชั้น รวมถึงอาหารที่มีส่วนผสมของครีม เนย เนยแข็ง เช่น เค้ก แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ชีสเบอร์เกอร์
👉รับประทานผลไม้ที่มีปริมาณโปแตสเซียมต่ำ เช่น แอปเปิ้ล ชมพู่ องุ่น เป็นต้น

ที่มา --->
SIPHHOSPITAL.COM
สำหรับผู้ที่ฟอกไตแล้ว สมุนไพรธนทรจะช่วยบำรุงร่างกาย แล้วก็จะช่วยยืดระยะเวลาการฟอกไต ทำให้หลังฟอกไต คนป่วยไม่อ่อนเพลีย ลดภาระให้กับลูกหลาน และคนป่วยจะรู้สึกสบายตัวมากขึ้น 
**ผลลัพท์ที่ได้อาจเปลี่ยนไปในแต่ละบุคคล**
ปรึกษาปัญหาโรคไตฟรี!!!
ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ไตวายจากเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เนื้อไตมีการอักเสบเรื้อรัง ไตมีถุงน้ำ ฯลฯ
เมื่อเกิดภาวะไตวายจะทำให้ของเสียคั่งในร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่และน้ำในร่างกาย จนร่างกายไม่สามารถทนได้ ต้องบำบัดทดแทนไตด้วยการฟอกเลือด หรือล้างไตทางช่องท้อง เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของไต ผู้ป่วยควรพบแพทย์และใช้หลักการของอาหารบำบัดที่เหมาะสม มีอาหารอะไรบ้างที่ผู้ป่วยโรคไตห้ามทาน ลองอ่านกันดูนะคะ มีดังนี้ค่ะ
1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ข้าว / แป้ง, เนื้อสัตว์, ผัก, ผลไม้, น้ำมัน และต้องได้รับพลังงานเพียงพอ โดยในแต่ละมื้อควรมีอาหารหลากหลาย
2. ปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ได้แก่ การลดหวาน, ลดมัน, ลดเค็ม เพื่อควบคุมโรคที่มีผลกระทบต่อไต
3. ควบคุมปริมาณเนื้อสัตว์ เพราะเนื้อสัตว์มีปริมาณโปรตีนสูง หากรับประทานมากเกิน จะทำให้ปริมาณของเสียในร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้ไตทำงานหนัก ปริมาณโปรตีนที่แนะนำ คือ 0.6 – 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือขึ้นอยู่กับระยะของโรค และควรเลือกรับประทานโปรตีนคุณภาพสูง ได้แก่ เนื้อปลา เนื่องจากมีไขมันต่ำ มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง, ไข่ขาว, เนื้อหมู, เนื้อไก่ (ไม่ติดหนัง / มัน), นมไขมันต่ำ เป็นต้น
4. ข้าว / แป้ง เป็นแหล่งพลังงานสำคัญ เช่น ข้าวเจ้า ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี เป็นต้น แต่ในแป้งเหล่านี้ยังมีโปรตีนอยู่บ้าง ในกรณีจำกัดโปรตีนต่ำมากๆ อาจต้องใช้แป้งปลอดโปรตีน เช่น วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ เพิ่มเติมจากข้าวได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นเบาหวาน ให้ใช้น้ำตาลเทียมแทน
5. ไขมัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ และจำกัดไขมันอิ่มตัวทั้งจากพืชและสัตว์ เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม มันหมู รวมถึงไขมันทรานส์ เช่น เนยเทียม เนยขาว ในเบเกอรี่ต่างๆ แนะนำให้ใช้น้ำมันชนิดที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง ในการประกอบอาหาร
6. จำกัดโซเดียมในอาหาร กรณีความดันโลหิตสูงหรือมีอาการบวม ต้องจำกัดปริมาณโซเดียม หากใช้ซีอิ๊วปรุงอาหารได้ประมาณ 3 ช้อนชา/วัน เลี่ยงอาหารรสเค็มจัด รวมถึงอาหารแปรรูป, อาหารหมักดอง, อาหารตากแห้งต่างๆ และอาหารกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ ไส้กรอก, แฮม, เบคอน, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวต่างๆ เป็นต้น
7. เครื่องเทศ และสมุนไพร ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องจำกัดปริมาณโซเดียมต่ำมาก อาจส่งผลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยลง แนะนำให้ใช้เครื่องเทศ และสมุนไพร เป็นตัวแต่งกลิ่นอาหาร ให้อาหารมีกลิ่น และรสชาติ ที่น่ารับประทานมากขึ้น เช่น หอมแดง ใบมะกรูด กระเทียม ใบโหระพา ข่า ใบแมงลัก ตะไคร้ เป็นต้น
8. น้ำ น้ำเปล่าเหมาะกับผู้ป่วยโรคไตมากที่สุด หรือหากอยากดื่มน้ำสมุนไพร ต้องไม่หวานจัด เช่น น้ำใบเตย น้ำอัญชัน น้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ เป็นต้น หากมีความดันโลหิตสูง หรืออาการบวม ต้องจำกัดน้ำดื่ม ไม่เกิน 700 – 1,000 ซีซีต่อวัน เพราะความสามารถในการขับปัสสาวะของผู้ป่วยโรคไตจะลดลง
9. ข้อปฏิบัติอื่นๆ เช่น งดบุหรี่ เหล้า กาแฟ ระวังมิให้ท้องผูกด้วยยา เพราะเมื่อขับถ่ายยากมีผลให้ความดันโลหิตขึ้น และยังมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมโปแตสเซียมมากขึ้น อีกทั้งควรออกกำลังกายอย่างเหมาะสม สม่ำเสมอ และนอนหลับสนิท ส่วนสารอาหารอื่นๆ อาจต้องมีการปรับและควบคุมตามอาการของโรค โดยการไปพบแพทย์และตรวจเลือดเป็นระยะๆ เพราะจะเป็นตัวช่วยบอกว่าควรจำกัดสารอาหารใดบ้าง เช่น
– หากมีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินเกณฑ์ ต้องหลีกเลี่ยง
ผักสีเขียวเข้ม หรือสีเหลืองเข้ม เช่น บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ
หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง ผักที่รับประทานได้ เช่น ฟักเขียว บวบ แตงกวา
มะเขือยาว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังต้องเลี่ยงอาหารที่ใช้โปแตสเซียมเป็นส่วนประกอบในสารปรุงแต่งอาหารหลายชนิด เช่น “ด่าง” ที่ใช้ใส่ใน แป้งบะหมี่ แป้งเกี๊ยว เพื่อให้แป้งมีลักษณะ “เหนียว” ผู้ป่วยที่มีภาวะโปแตสเซียมในเลือดสูง จึงควรงดอาหารกลุ่มนี้ รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบรรจุซองด้วย
👉หากมีระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูงเกินเกณฑ์ ต้องหลีกเลี่ยง ไข่แดง (ควรทานแต่ไข่ขาว) นมทุกรูปแบบ ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็ง เมล็ดพืช เช่น เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน ฯลฯ งดอาหารที่ใช้ยีสต์เพราะมีฟอสเฟตสูง เช่น ขนมปังปอนด์ แป้งซาลาเปา หมั่นโถว โดนัท งดอาหารที่ใช้ผงฟู เช่น เค้ก คุ้กกี้ ซาลาเปา โดนัท
👉หากมีระดับยูริกในเลือดสูงเกินเกณฑ์ ต้องหลีกเลี่ยงแหล่งอาหารที่มีพิวรีนมาก เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด, ปีกสัตว์, น้ำสกัดจากเนื้อสัตว์, ยอดผักอ่อนๆ พวกยอดตำลึง, ยอดฟักแม้ว, ยอดฟักทอง, หน่อไม้ฝรั่ง รวมถึงต้องรับประทานอาหารไขมันต่ำด้วย เพราะอาหารไขมันสูงทำให้กรดยูริกขับถ่ายทางปัสสาวะได้ไม่ดี
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้ป่วยโรคไต ต้องเริ่มปรับพฤติกรรมการบริโภคตั้งแต่ตรวจพบว่าเป็นโรค โดยอาจให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการควบคุมอาหาร รวมถึงการมาพบแพทย์ตามนัด เพื่อความต่อเนื่องในการวางแผนรักษา หรือการพบนักโภชนาการเพื่อช่วยกันวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อชะลอความเสื่อมของไตลงได้
ที่มา ----> praram9.com 

**ผลลัพท์ที่ได้อาจเปลี่ยนไปในแต่ละบุคคล**
ปรึกษาปัญหาโรคไตฟรี!!!
อาหารบำรุงไตมีอะไรบ้าง?ต้องรู้นะคะ กับ 7 อาหารบำรุงไต หาง่าย ใกล้ตัวค่ะ 1.กระเทียมสด เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบ ลดคอเลสเตอรอล และประกอบด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ที่ต้านโรคมะเร็ง รวมทั้งมีสารอัลลิซินที่สำคัญต่อร่างกาย
2.หอมหัวใหญ่ เป็นอาหารบำรุงสุขภาพสำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคไต เนื่องจากมีสารโพรสตาแกลนดิน ช่วยลดความดันเลือดได้ดี
3.น้ำมันมะกอก น้ำมันมะกอกเต็มไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ที่ต้านโรคมะเร็งได้
4.แอปเปิ้ล การกินแอปเปิ้ล ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง และคอเลสเตอรอลสูง
5.ปลาสด เช่น แซลมอน เทราต์ และซาร์ดีน มีโปรตีนและโอเมกา 3 ที่มนุษย์ไม่สามารถผลิตเองโดยการกินปลาสดเป็นประจำจะลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอลสูง
6.ไข่ขาว มีโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็ดที่ดีต่อไต
7.กะหล่ำปลี มีวิตามินซี และมีโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งสามารถช่วยขจัดสารบางอย่างออกจากร่างกาย ทำให้ลดภาระการทำงานของไตได้ ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง สามารถลดการเกิดโรคไตได้


ผลไม้ที่ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรทาน
1.มะเฟืองเปรี้ยว
2.ทุเรียน
3.ส้มสายน้ำผึ้ง
4.ลูกยอ
5.กล้วยน้ำหว้า
6.มะม่วงสุก



**ผลลัพท์ที่ได้อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล**
สั่งตอนนี้รับส่วนลดพิเศษ 30%
สำหรับ 50 คน/วันเท่านั้น!
สั่งเลย!!!!!
รูปร่าง ตำแหน่ง และขนาดของไต -ไตของคนเรามี 2 อัน แต่ละอันมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่งแดงหลวง-ตำแหน่งอยู่หลังช่องท้อง (ใต้เยื่อบุช่องท้อง) สองข้างของกระดูกสันหลังบริเวณบั้นเอว-ขนาดประมาณ 12*6*3 ซม.-น้ำหนักข้างละประมาณ 150 กรัม -ขับปัสสาวะประมาณวันละ 1-2 ลิตร
หน้าที่ของไต คือการสร้างปัสสาวะที่จะช่วยขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ และช่วยในการรักษาความปกติของน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย นอกจากนั้นไตยังมีหน้าที่ในการสร้างสารที่ควบคุมความดันโลหิต และสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ดังนั้นเมื่อไตทำงานน้อยลงมักเกิดปัญหาความดันโลหิตสูงและโลหิตจางร่วมด้วย
ขับถ่ายของเสีย
ไตทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีนออกจากร่างกาย ของเสียประเภทนี้ ได้แก่ ยูเรีย ครีอะตินีน กรดยูริก และสารประกอบไนโตรเจนอื่นๆ อาหารประเภทโปรตีนมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารจำพวกถั่ว ซึ่งหากของเสียจากอาหารประเภทโปรตีนเหล่านี้คั่งค้างอยู่ในร่างกายมากๆ จะทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งทางการแพทย์เรียกภาวะดังกล่าวว่า ยูรีเมีย (uremia) นอกจากนี้ไตยังทำหน้าที่กำจัดสารพิษ สารเคมี รวมทั้งขับถ่ายยาต่างๆออกจากร่างกายอีกด้วย
ยูเรีย
ยูเรียเป็นโปรตีนที่ถูกตัดหมู่ amino ออก (-NH2) แล้ว เปลี่ยนเป็นยูเรีย ส่งไปกรองที่ไต กระบวนการเปลี่ยนให้เป็นยูเรียเกิดขึ้นที่ตับ ยูเรียมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานของหน่วยไต เรียกว่า countercurrent system ช่วยในการดูดซึมกลับของสารน้ำและเกลือแร่ที่อยู่ในหน่วยไต โปรตีน urea transporter 2 เป็นตัวขนถ่ายยูเรียเข้าสู่ท่อไตเพื่อขับออกทางปัสสาวะ ยูเรียในกระแสเลือดอยู่ในสภาพสารละลายประมาณ 2.5 – 7.5 มิลลิโมล/ลิตร เกือบทั้งหมดขับถ่ายทางปัสสาวะ มีเพียงส่วนน้อยที่ถูกขับถ่ายทางเหงื่อ
ครีอะตินีน
ครีอะตินีนเป็นสารที่เกิดจากการแตกสลายของ creatine phosphate ในกล้ามเนื้อ ร่างกายสร้างครีอะตินีนขึ้นในอัตราที่คงที่โดยอัตราการสร้างขึ้นกับมวลกล้าม เนื้อของแต่ละคน ไตทำหน้าที่กรองครีอะตินีน โดยไม่มีการดูดกลับ ดังนั้นถ้าการทำหน้าที่กรองของไตเสียไปโดยไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จะสามารถตรวจพบระดับของครีอะตินีนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น
กรดยูริก
กรดยูริกเกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทเนื้อสัตว์ สาร พิวรีนในโปรตีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องในสัตว์ ถั่วเหลือง ถั่วแดง กระถิน ชะอม ใบขี้เหล็ก ผักตำลึง กระหล่ำดอก ผักบุ้ง ถั่วลิสง เห็ด หน่อไม้ฝรั่ง กรดยูริกจะถูกขับออกมาทางไต ถ้าหน้าที่ของไตเสียไป ก็จะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงขึ้นได้ เช่นกัน กรดยูริกเกิดจากการย่อยสลายสารพิวรีน ร่างกายจะย่อยพิวรีนจนกลายเป็นกรดยูริก และจะขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ ในคนปกติกรดยูริกจะถูกสร้างขึ้นในอัตราช้าพอที่ไตจะขับออกได้หมดทันกับการสร้างขึ้นพอดี
สมดุลของน้ำและเกลือแร่
ไตทำหน้าที่ควบคุมปริมาณสารน้ำและเกลือแร่ในร่างกายน้ำและแร่ส่วนที่เกินควรจำเป็นจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ เกลือแร่ดังกล่าว เช่น โซเดียม โปตัสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม และฟอสฟอรัส เป็นต้น ร่าง กายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 70 ในเลือดมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 92 ในสมองมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 85 ถ้าพิจารณาในแต่ละเซลล์จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 60 จริงๆแล้วน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญและจำเป็นของเซลล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเซลพืช เซลล์สัตว์ และเซลล์มนุษย์ ทุกเซลล์ล้วนประกอบด้วยน้ำทั้งนั้น ในเซลล์มนุษย์และเซลล์สัตว์มีน้ำประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนักร่างกาย ในพืชบกมีน้ำประมาณร้อยละ 50–75 ถ้าเป็นพืชน้ำอาจมีน้ำมากกว่าร้อยละ 95
ความดันโลหิต
ไตทำหน้าที่สร้างสารเรนิน (renin) ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ระดับคงที่ ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆเพียงพอ ใน ภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดแดงที่ไตโดยเฉลี่ยลดลง ทำให้ร่างกายกระตุ้นกระบวนการเรนิน-แองจิโอเทนซิน ซึ่งจะทำให้มีการหลั่งเรนินจากจักซตาโกลเมอรูลาร์ อัฟพาราตัส (juxtaglomerular apparatus) ในไต เรนินเป็นเอนไซม์ที่หลั่งจากไตเข้าไปในกระแสเลือด ทำหน้าที่เปลี่ยนแองจิโอเทนซิโนเจน ให้เป็นแองจิโอเทนซิน I หลังจากนั้นเอนไซม์แเองจิโอเทนซิน คอนเวอทติง (angiotensin converting enzyme : ACE) จะเปลี่ยนแองจิโอเทนซิน I ให้เป็นแองจิโอเทนซิน II ที่ปอด เมื่อสารน้ำในร่างกายต่ำกว่าปกติ ระบบเรนิน-แองจิโอเทนซิน จะไปกระตุ้นหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดหดรัดตัว และกระตุ้นการหลั่งแอลโดสเตอโรนที่ต่อมหมวกไตส่วนนอก ทำให้เพิ่มปริมาณของโซเดียมและน้ำมากขึ้น ปริมาณเลือดจะเพิ่มขึ้น
การสร้างเม็ดเลือดแดง
ไตทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง มีชื่อเรียกว่า อีริโทโพอิติน (erythropoietin) หรือเรียกว่า อีโป (EPO) สารนี้ช่วยกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายอย่างเพียงพอ ป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง ไข กระดูกเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือด โดยทั่วไปไขกระดูกจะอยู่ตามโพรงของกระดูกทุกชิ้น และมีปริมาณมากที่กระดูกเชิงกราน และกระดูกหน้าอก เม็ดเลือดแดงมีสารฮีโมโกลบิน ทำหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เซลล์ทำงานได้ตามปกติ
วิตามินดี
ไตทำหน้าที่สร้าง active form ของวิตามินดี ซึ่งมีบทบาทควบคุมระดับเกลือแร่แคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง วิตามินดีมีความจำเป็นในการดูดซึมแคลเซียมไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย เฉพาะเมื่อได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ในบ้านเรามักจะไม่มีปัญหาการขาดวิตามีนดี เนื่องจากมีแสงแดดตลอดปี วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ ควบคุมการขับถ่ายแคลเซียมออกจากไต และควบคุมการสะสมแคลเซียมบนกระดูก ร้อยละ 90 ของวิตามินดีในร่างกายมาจากการสร้างขึ้นของผิวหนังเมื่อทำปฏิกิริยากับรังสี อุลตราไวโอเลตชนิดบี
สั่งตอนนี้รับส่วนลดพิเศษ 30%
สำหรับ 50 คน/วันเท่านั้น!
สั่งเลย!!!!!
โรคไตเรื้อรัง (CKD) ระยะก่อนฟอกเลือด (Pre-dialysis) ระยะ 1-5 ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นมีการดําเนินของโรค (ระยะที่1) จนถึงระยะสุดท้ายที่ผู้ป่วยจะอยู่ไม่ได้โดยไม่ฟอกเลือด (ระยะที่5) เรียกว่า ระยะก่อนฟอกเลือด (Pre-dialysis) เป็นช่วงเวลาที่ยาวที่สุดของการดําเนินโรค และมีผู้ป่วยจํานวนมากที่สุดในบรรดาผู้ป่วย
โรคไต (ปัจจุบันประเทศไทยมีประมาณ 6 ล้านคน)

ระยะ 1-2 นับเป็นระยะเริ่มต้น ไตสูญเสียหน้าที่ไปไม่มากนักเพียงไม่ถึง 40% หาก วินิจฉัยโรคได้ในระยะนี้และเริ่มต้นบําบัดอย่างเคร่งครัด จะได้ผลในเชิงชะลอความเสื่อมของไตไว้ ได้ดีที่สุด
ระยะ 3-5 นับเป็นระยะที่ไตสูญเสียหน้าที่ไปมากแล้ว (> 40%) ปัจจุบันสําหรับประเทศ ไทยมีผู้ป่วยระยะนี้ประมาณ 2 ล้านคน หากเริ่มต้นการบําบัดทั้งด้วยยาและอาหารในระยะนี้จะไม่ ได้ผลมากนักในการชะลอความเสื่อม เพราะไตเสื่อมไปมากแล้ว แต่จะมีผลช่วยลดปริมาณของเสีย ในเลือด บรรเทาอาการยูรีเมีย ชวยให้ผู้ป่วยสบายขึ้นบ้างเท่านั้น่ จึงควรเผยแพร่ความรู้และกระตุ้น เตือนให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรังไปรับการตรวจวินิจฉัยโรคบ่อยๆ (อย่างน้อยทุก 6 เดือน) หากว่าเป็นโรคก็จะได้รู้เสียตั้งแต่ระยะแรกๆ จะได้เริ่มต้นรับการบําบัดทั้งด้วยยาและ อาหารอย่างจริงจังเสีย ตั้งแต่โรคอยู่ในระยะ 1-2 (ไตยังเสื่อมไปไม่มาก) อันจะยังผลให้ชะลอความ เสื่อมของไตไว้ได้ดีที่สุด
เมื่อถึงระยะ 5 ไตเสื่อมมากแล้ว ของเสียในเลือด (BUN) จะสูงมากอาจสูงถึง 100 มก./ดล. ผู้ป่วยเตรียมตัวรับการบําบัดทดแทนไต เช่น รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis-HD) หรือใช้นํ้ายาล้างไตทางช่องท้อง (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis-CAPD) หรือ รับการปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยากชะลอให้ถึงเวลาฟอกเลือดช้าที่สุดคือ อยู่ใน Pre-dialysis stage ให้ นานที่สุด จะบังเกิดผลดังกล่าวได้ผู้ป่วยจํานวนมากเหล่านี้จําเป็นจะต้องได้รับความรู้เพื่อให้เกิด ความเข้าใจและความพยายามที่จะปฏิบัติตนทั้งในด้านยาบําบัดและอาหารบําบัดอย่างถูกต้อง สมํ่าเสมอ เพื่อว่าจะได้ชะลอเวลาที่จะเข้าสู่ระยะรับการบําบัดทดแทนไต (HD หรือ CAPD หรือ KT) อันเป็นระยะเวลาที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งยังมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคแทรก (อัน อาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ง่าย) ให้ช้าที่สุด



**ผลลัพธ์ที่ได้อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล**
สั่งตอนนี้รับส่วนลดพิเศษ 30%
สำหรับ 50 คน/วันเท่านั้น!
สั่งเลย!!!!!
>> อ่านบทความ "12 อาหารต้องห้ามสำหรับคนเป็นโรคไต" กดอ่านตรงนี้<<
บทบาทของอาหารบําบัดในโรคไตเรื้อรังระยะก่อนฟอกเลือด
1. สําคัญที่สุดคือ ชะลอความเสื่อมของไต ให้ดําเนินไปช้าที่สุด กล่าวคือ ช่วยให้หน่วยไต ส่วนที่ยังเหลืออยู่ถูกทําลายลงอย่างช้าๆ
การบําบัดด้วยยาและอาหารอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกๆ ของโรค จะได้ผลดียิ่งกว่าใน ระยะที่โรครุนแรงแล้ว หน่วยไตถูกทําลายไปมากแล้ว อย่างไรก็ตามปรากฏว่าผู้ป่วยที่ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องสมํ่าเสมอ สามารถชะลอความ เสื่อมของไตไว้ได้เป็นปีๆ ทีเดียวอาหารที่จะชะลอความเสื่อมของไตไว้ได้ประการแรกต้องมีโปรตีนตํ่า ซึ่งก็จะมีผลให้ของ เสีย (เช่น ยูเรีย) มีปริมาณน้อยลง ไตส่วนที่เหลือก็จะได้ทํางานเบาลง
มีปัจจัยอีกหลายประการที่อาจมีส่วนเร่งให้ไตเสื่อม การจัดอาหารก็จะมีเป้าหมายเพื่อลด ปัจจัยเหล่านั้นด้วย เช่น ภาวะฟอสเฟตสูง โคเลสเตอรอลในเลือดสูง กรดยูริกสูง นํ้าตาลสูง ความ ดันโลหิตสูง
2.ควบคุมดุลของนํ้าและเกลือแร่(ด้วยการจํากัดโซเดียม, โพแทสเซียม และนํ้า) ไตปกติ ทําหน้าที่ควบคุมดุลของนํ้าและเกลือแร่ให้เป็นปกติอยู่เสมอ เมื่อไตเสื่อมลงขับถ่ายเกลือแร่บาง ชนิด (เช่น Na, K) ไม่ได้ดังปกติเกิดการเสียดุล ระดับของเกลือแร่ดงกล่าวในเลือดสูงขึ้นั ผู้ป่วยจึง ต้องกินอาหารจํากัดเกลือแร่ดังกล่าว และอาจต้องจํากัดนํ้าด้วย

3.ควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติตลอดเวลา (BP < 130/80 หรือ 125/75 มม.ปรอท) ด้วยยาลดความดันโลหิต (แพทย์สั่ง) และด้วยอาหารจํากัดโซเดียม (สําคัญ มากถ้าจํากัดได้ดียาลดความดันโลหิตก็จะได้ผลดี)ประกอบกับข้อปฏิบัติอื่นๆ เช่น งดบุหรี่ (nicotin เป็น vasoconstrictor ) เหล้า กาแฟ (caffeine) ระวังมิให้ท้องผูกด้วยยาและอาหาร (ถ้า ท้องผูกขับถ่ายยากมีผลให้ความดันโลหิตขึ้น และยังมีผลต่อโปแตสเซียมอาจทําให้โปแตสเซียม ถูกดูดซึมได้มากขึ้น) และมีการออกกําลังกายอย่างเหมาะสมสมํ่าเสมอ และนอนหลับสนิทอย่าง พอเพียง ฯลฯ (การนอนไม่หลับมีผลให้ความดันโลหิตขึ้น)
ระดับจํากัดโซเดียม 2000-3000 มิลลิกรัม/วัน ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือบวม ต้องจํากัดโซเดียมให้<2000 มิลลิกรัม/วัน ภาวะความดันโลหิตสูง (HT) เป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้ไตเสื่อม ผู้ป่วย CKD ควรให้
ความสําคัญในการบําบัด ทั้งด้วยยาลดความดัน (ไม่ควรขาด ทั้งไม่ควรปรับขนาดยาเอง) และ อาหารจํากัดโซเดียม และควรหมั่นตรวจสอบ B.P เป็นประจําสมํ่าเสมออย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง (ผู้ที่เป็น HT ควรมีเครื่องวัดความดันโลหิตไว้ใช้เองที่บ้าน)
4.ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวานร่วมด้วย (ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวานเป็นเหตุให้เกิดโรคไตเรื้อรัง) จะต้องจัดอาหารเพื่อบําบัดภาวะนํ้าตาลในเลือดสูง (คือ รักษาระดับนํ้าตาลในเลือดให้เป็นปกต ิ หรือใกล้ปกติตลอดเวลา) ระดับนํ้าตาลในเลือดปกติFPG < 90-130 มก./ดล. HbA1C < 7.0% * ภาวะนํ้าตาลในเลือดสูงก็เป็นเหตุปัจจัยให้ไตเสื่อมอีกประการหนึ่ง

5.บําบัดหรือบรรเทาความแปรปรวนในด้านเมตาบอลิซึม เช่น ภาวะไขมันแปรปรวน (dyslipidemia) เพื่อควบคุมระดับไขมันในเลือดให้เป็นปกติระดับไขมันในเลือดปกติTotal cholesterol (CHOL) < 170 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (new optimum) Triglyceride (TG) < 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร LDL-cholesterol (LDL-C) < 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร < 70 DM + CKD HDL-cholesterol (HDL-C) F > 50 มลลิกรัมิ/เดซิลิตร M > 40
* ภาวะ dyslipidemia คือ ภาวะที่ระดับไขมันในเลือดแปรปรวนผิดไปจากปกติกล่าวคือ มีTotal cholesterol (TC) สูงกว่าปกติ(> 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) LDL-cholesterol (LDL-C) สูงกว่าปกติ(> 100 หรือ 130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) Triglyceride (TG) สูงกว่าปกติ(> 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) HDL-cholesterol (HDL-C) ตํ่ากว่าปกติ(< 45 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
อาจมีความแปรปรวนทุกอย่างหรือมีเพียงบางอย่าง ยิ่งมีความผิดปกติมากเท่าใด ปัจจัย เสี่ยงต่อการเกิด atherosclerosis และดังนั้นก็เท่ากับมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด cardiovasculardiseases รวมถึงภาวะไตเสื่อมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
การจัดอาหารจึงต้องมีเป้าหมายที่จะแก้ไข บําบัดภาวะ dyslipidemia ให้ได้ ด้วยการรู้จักเลือกอาหารหมู่เนื้อสัตว์และหมู่ไขมัน (เป็นอาหารหลักที่ให้ไขมัน) จะได้ควบคุมทั้งปริมาณและคุณภาพ
ภาวะ dyslipidemia ที่ไม่ได้รับการบําบัดอาจเป็นเหตุให้atherosclerosis รุนแรงขึ้น เพิ่ม ความเสี่ยงต่อ cardio vascular accident ซึ่งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของ CKD ทั้งยังมีผลให้ ไตเสื่อมยิ่งขึ้นอีกด้วย
6. แก้ไขบรรเทาภาวะ hyperphosphatemia ที่เกิดร่วมกับโรคไตเรื้อรัง ภาวะฟอสเฟตสูง (> 4.8 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) ที่มิได้รับการบําบัด ก่อให้เกิดผลเสียหลายประการ อาทิเป็นเหตุสําคัญ ทําให้ไตเสื่อม ทั้งยังเป็นเหตุให้เกิดโรคแทรกร้ายแรง เชน่ ภาวะกระดูกพรุนเพราะโรคไต (Renal osteodystrophy) และ secondary hyperparathyroidism (ระดับ PTH สูงกว่าปกติและต่อม พาราไธรอยด์มีขนาดโตขึ้นจนต้องทําการผ่าตัด)
7.แก้ไขบรรเทาภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลงใกล้ปกติที่สุด (2-7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) ด้วยการงดอาหารที่มีพิวรีนสูง (พิวรีนเข้าสู่ร่างกายจะทําให้เกิดกรดยูริก) ประกอบกับการให้ยาลดระดับกรดยูริก (แพทย์สั่งเท่านั้น เพราะยาลดกรดยูริก ผู้ป่วยจํานวนมาก แพ้ยา) ประกอบกับอาหารพิวรีนตํ่าและไขมันตํ่าด้วย (อาหารที่มีไขมันสูงจะทําให้การขับถ่ายกรด ยูริกออกทางปัสสาวะได้ยาก) ระดับกรดยูริกที่สูงอาจทําให้เกิดนิ่ว และอาจทําให้ไตเสื่อม
8.ป้องกันหรือบรรเทาภาวะทุพโภชนาการ (โปรตีน และพลังงาน-PCM และอื่นๆ) ผู้ป่วย CKD หากมีPCM จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรก และเป็นเหตุให้อัตราตายสูงขึ้น จะต้อง เฝ้าระวังมิให้เกิด เมื่อเกิดต้องรีบบําบัด ด้วยการจัดอาหารที่มีโปรตีนในระดับที่เหมาะสม (0.6-0.8 กรัม/กก. IBW/วัน) และที่สําคัญต้องให้พลังงานอย่างพอเพียงหรือเกินพอเล็กน้อยเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการจัดอาหารบําบัด จะขอกล่าวถึงรายละเอียดดงต่อไปนี้ั พลังงาน ความเพียงพอในด้านพลังงานนับว่าเป็นสิ่งสําคัญที่สุด อาหารที่ให้พลังงานพอเพียง หรือเกินพอเล็กน้อย จะช่วยให้ร่างกายใช้โปรตีนปริมาณน้อยได้อย่างคุ้มค่า กล่าวคือใช้ ซ่อมและสร้างร่างกาย สร้างสารที่จําเป็นต่างๆ เช่น ฮอร์โมน สารภูมิคุ้มกันโรค ฯลฯ ไม่ต้องนํามา เผาผลาญให้เกิดพลังงาน (การนําโปรตีนมาเผาผลาญ นอกจากจะ loss protein แล้วยังทําให้เกิด urea มากขึ้น)จะจัดอาหารให้พลังงานมากน้อยเท่าไร ต้องคํานึงถึงเพศ อายุและกิจกรรมของผู้ป่วย ระดับของพลังงานควรจะประมาณ 30-35 กิโลแคลอรี่1/กิโลกรัม Ideal Body WT/วัน ผู้ป่วยที่ อายุตํ่ากว่า 60 ปีก็ให้35 กิโลแคลอรี่ส่วนผู้ป่วยที่อายุสูงกว่า 60 ปีก็ให้30 กิโลแคลอรี่เราจะรู้ว่า อาหารที่จัดให้ผู้ป่วยนั้น ชวยให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานเพียงพอหรือไม่่ก็โดยดูจากนํ้าหนักตัว หาก นํ้าหนักตัวคงที่ไม่เพิ่ม ไม่ลด ก็แสดงว่าอาหารที่ผู้ป่วยได้รับให้พลังงานพอเพียง (พอดี) หากผู้ป่วยมีนํ้าหนักตัวลด (โดยไม่มีเหตุทางพยาธิ) น่าจะสันนิษฐานว่า อาหารที่ผู้ป่วย ได้รับให้พลังงานไม่เพียงพอ จะต้องให้เพิ่มแหล่งของพลังงาน ส่วนใหญ่ควรได้รับจากคาร์โบไฮเดรท (55-60% ของพลังงานที่ควรได้รับทั้งวัน) ควรได้รับ จาก complex carbohydrate (พวกแป้ง) มากกว่า simple carbohydrate (นํ้าตาล) จากไขมันประมาณ 30-35% ของพลังงานที่ควรได้รับทั้งวัน ส่วนน้อย (< 10%) จากโปรตีน จะได้กล่าวถึงการเลือกแหล่งอาหารที่เหมาะสมในตอนต่อไป
โปรตีน ปริมาณที่ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรได้รับต้องให้ตํ่ากว่าคนปกติ(<0.8กรัม)เพื่อให้เกิดของเสียน้อยลง (ไตส่วนที่เหลือจะได้ทํางานลดลง) แต่ต้องไม่ตํ่ากว่า 0.6 กรัม/กิโลกรัม IBW/ วัน มากน้อยตามระดับความรุนแรงของโรค (ถ้าตํ่ากว่า 0.6 กรัม/กิโลกรัม IBW/วัน จะทําให้ ร่างกายขาดโปรตีน)
ผู้ป่วยที่มีค่า eGFR > 30 ml/min/1.73 m2 (ระยะ 1-3) ให้โปรตีน 0.6-0.8 กรัม/กิโลกรัม
IBW/วัน
ผู้ป่วยที่มีค่า eGFR < 30 ml/min/1.73 m2 (ระยะ 4-5) ให้โปรตีน 0.6 กรัม/กิโลกรัม IBW/
วัน
อย่างน้อย 60% ของโปรตีนที่ได้รับควรเป็นโปรตีนที่มีHigh Biological Value อันได้แก่ โปรตีนจากสัตว์เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่และนม (ให้มากกว่า 60% ก็ยิ่งดี) ถ้าจะให้โปรตีนตํ่ากว่า 0.6 กรัม/กิโลกรัม IBW/วัน จะต้องให้กรดอะมิโน (Amino acid mixture) เสริม (เช่น Chula Minacid, Amiyu, Ketosteril)
หมายเหตุ
ควรแนะนําให้ผู้ป่วยเคร่งครัดกับปริมาณอาหารโปรตีนที่บริโภคอย่างสมํ่าเสมอ(ทุกมื้อ ทุกวัน) เพราะปริมาณที่มากไปจะเป็นเหตุให้ไตเสื่อม และปริมาณที่น้อยไปก็จะเป็นเหตุให้ เกิดการขาดและนําไปสู่ภาวะ PCM ได้




**ผลลัพธ์ที่ได้อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล**
สั่งตอนนี้รับส่วนลดพิเศษ 30%
สำหรับ 50 คน/วันเท่านั้น!
สั่งเลย!!!!!
