ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีที่นี่
โรคพิษสุราเรื้อรัง เดิมทีการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นสาเหคุของภาวะปลายประสาทอักเสบได้อยู่แล้ว และผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรังนี้มักจะรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และมักจะมีภาวะขาดวิตามินบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะปลายประสาทอักเสบได้
การได้รับสารพิษบางชนิดทั้งโลหะหนักจำพวกปรอท แทลเลียม ตะกั่ว สารหนู หรือสารเคมีต่าง ๆ ทั้งจากสิ่งแวดล้อม และการได้รับยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัดสำหรับรักษามะเร็งปอด ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย ยาต้านเชื้ือไวรัสบางอย่าง เป็นต้น
กลุ่มโรคที่ส่งผลทั่วร่างกาย หมายรวมถึงโรค และความผิดปกติต่างๆ ที่ส่งผลกระทบไปทั่วร่างกาย เช่นโรคไต โรคเกี่ยวตับ โรคเลือด โรคของหลอดเลือดต่างๆ การอักเสบเรื้อรัง ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล รวมถึงเนื้องอกที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อาการชามือและเท้าจากปลายประสาทอักเสบ ก็อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดได้เช่นกัน และหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว และอาจถึงขั้นพิการได้
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีที่นี่
โรคเบาหวาน ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือการอักเสบของเส้นประสาท ซึ่งสาเหตุหลักของปลายประสาทอักเสบในผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ น้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในเลือด ส่งผลให้เส้นประสาทนำไฟฟ้าได้ดี นอกจากนี้โรคเบาหวานยังทำให้เกิดการทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นประสาท
ทั้งนี้โรคแทรกซ้อนทางระบบประสาทในผู้ป่วยเบาหวานมีด้วยกันอยู่ 3 ส่วน ได้แก่
1. เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม เป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยเบาหวานโดยผู้ป่วยที่เส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม จะมีอาการชา เนื่องจากสูญเสียประสาทรับความรู้สึก เริ่มจากบริเวณปลายนิ้วเท้า และมักจะเกิดขึ้นที่เท้าทั้ง 2 ข้าง ลุกลามไปเรื่อยๆ โดยนอกจากอาการชา ที่เหมือนเป็นเหน็บแล้ว ความรู้สึกจากการสัมผัสอาจลดลงหรือไม่รู้สึกเลยก็เป็นได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจจะปวดเส้นประสาท ซึ่งจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต มักจะเกิดขึ้นกับเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงขาและเท้า โดยอาการจะเกิดขึ้นบ่อยเฉพาะเวลานอน
2. ความผิดปกติของเส้นประสาทเส้นใดเส้นหนึ่ง ได้แก่ เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อตา ส่งผลให้สูญเสียระบบการทำงานของกล้ามเนื้อลูกตา และมีอาการกลอกตาไม่ได้ , มองเห็นเป็นภาพซ้อน โดยอาการจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวแล้วจะดีขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดอาการขึ้นได้กับ เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท โดยอาการที่กล่าวมาข้างต้นจะดีขึ้นได้เองภายใน 2-12 เดือน
3. ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้เกิดความผิดปกติของเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงระบบต่างๆ โดยอาจจะมีอาการ ดังต่อไปนี้
- หลอดอาหาร จะมีการบีบตัวลดลง ทำให้กลืนลำบาก และอาจมีอาการเจ็บหน้าอกลักษณะคล้ายเป็นโรคหัวใจ
- กระเพาะอาหาร การบีบตัวลดลง ทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี เป็นผลให้มีอาการแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน มีผลต่อการดูดซึมอาหาร
- ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ทำให้ท้องเสียและท้องผูกเรื้อรังเป็นๆ หายๆ
- ระบบปัสสาวะ เส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะเสื่อม ทำให้ไม่รู้สึกปวดปัสสาวะ เพราะการทำงานของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะเสียไป ทำให้ไม่สามารถบีบไล่ปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะได้หมด เกิดปัญหาปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ นำไปสู่การติดเชื้อ นอกจากนี้ยังอาจเกิดอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือปัสสาวะไหลออกโดยไม่รู้ตัว
- ความผิดปกติของหลอดเลือดหรือความผิดปกติของระบบประสาทเป็นผลให้เกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ อวัยวะเพศไม่แข็งตัว
ทั้งนี้สาเหตุหลักของปลายประสาทอักเสบในผู้ป่วยเบาหวาน ได้แก่ น้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางทางเคมีในเลือด ส่งผลให้เส้นประสาทนำไฟฟ้าได้ไม่ดี นอกจากนี้โรคเบาหวานยังทำให้เกิดการทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นประสาท
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีที่นี่
ปลายประสาทอักเสบ เป็นกลุ่มอาการของเส้นประสาท ซึ่งทำหน้าที่รับคำสั่งจากสมองและไขสันหลัง ไปยังอวัยวะต่างๆ หากเส้นประสาทจุดใดจุดหนึ่งมีปัญหา อาจส่งผลให้อวัยวะส่วนนั้นทำงานผิดปกติ และเกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงอาการเจ็บปวด แสบร้อน สั่นสะเทือน หรือไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้นได้
เส้นประสาท ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลเข้าออกจากสมอง ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากเส้นประสาททำงานผิดปกติ จะส่งให้อวัยวะส่วนนั้นๆ ทำงานผิดปกติไปด้วย โดยเส้นประสาทแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
มือเท้าชา อย่านิ่งนอนใจ รักษาอย่างไร
อาการชาของบางคนนั้นบ่งบอกได้ถึงความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับ “การกดทับของเส้นประสาทบริเวณต่างๆ“ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาการหลับลึก เมาสุรา ป่วยหนัก พิการทางสมอง จนเส้นประสาทที่ถูกกดทับช้ำมากจนไม่สามารถฟื้นคืนสภาพปกติภายในเวลาอันสั้น หากเป็นเช่นนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยทันที
อย่างไรก็ตาม ยังมีอาการชาประเภทต่างๆอีกมากมายที่อาจเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากเรารับรู้ถึงลักษณะของอาการชาประเภทต่างๆที่ผิดปกติไปจากเดิมได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถวินิจฉัยโรคของตัวเองหรือรู้ว่าตัวเองเป็นอะไรได้ในเบื้องต้น โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดเหตุร้ายก่อน เพราะบางครั้งมันอาจจะสายเกินไปเสียแล้ว
บริเวณที่ต้องระวังเมื่อมีอาการชาเกิดขึ้น
1. รู้สึกชาปลายเท้าและปลายมือเข้าหาลำตัว
หากคุณเป็นเช่นนี้ สาเหตุของอาการมักเกิดจากปลายประสาทอักเสบหรือปลายประสาทเสื่อม ซึ่งเกิดจากขาดสารอาหารที่สำคัญบางชนิด ได้แก่ วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 หรือ วิตามินบี 12
นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดขึ้นเนื่องจากการเป็นโรคบางชนิดได้ด้วย เช่น โรคไต โรคมะเร็ง เป็นต้น
2. รู้สึกชามือ แต่ไม่รู้สึกชาเท้า
การชาเฉพาะที่มืออย่างเดียวโดยไม่ชาเท้า จะสามารถแบ่งบริเวณของมือที่ชาเป็นส่วนๆได้ดังนี้ ซึ่งอาการชาแต่ละส่วนก็แสดงความผิดปกติที่แตกต่างกันออกไป
2.1 ชาปลายนิ้วมือเกือบทุกนิ้ว แต่นิ้วก้อยไม่ชาหรือชาน้อยที่สุด
อาการชาประเภทนี้มักเป็นตอนกลางคืนหรือตอนตื่นนอน ส่วนในตอนกลางวันก็สามารถเป็นได้เช่นกัน แต่จะเป็นเฉพาะการทำท่าบางประการที่ไม่เหมาะสมหรือทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น ชูมือสูง ขี่มอเตอร์ไซค์ คุยโทรศัพท์ หรือใช้มือทำงานบางอย่างอย่างหนัก
สาเหตุของอาการชานี้เกิดขึ้นจากเอ็นกดทับเส้นประสาทตรงข้อมือ ซึ่งนับว่ายังไม่อันตรายมากนัก วิธีแก้ไขยังสามารถทำได้ เพียงแค่ต้องลดงานที่ใช้มือข้างนั้นๆลง เลี่ยงท่าทางที่ทำแล้วทำให้มือชา เปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ หรือถ้าเป็นมากอาจจะต้องฉีดยาที่ข้อมือเพื่อบรรเทาอาการ
2.2 ชาที่บริเวณนิ้วก้อย นิ้วนาง และขอบมือด้านเดียวกัน แต่ไม่เลยเกินข้อมือ
อาการชาประเภทนี้มักเกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกดทับตรงข้อศอก วิธีการแก้ไขให้เลี่ยงท่าทางที่ทำให้ชาเช่นเดียวกับข้อข้างต้น
อย่างไรก็ตาม ถ้ารู้สึกชาเลยข้อมือขึ้นมาจนถึงข้อศอก มักจะมีสาเหตุมาจากเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณกระดูกไหปลาร้า หากเป็นเช่นนี้ควรปรึกษาแพทย์ทันที
2.3 ชาหลังมือไม่เกินข้อมือ โดยเฉพาะบริเวณง่ามระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
อาการชาประเภทนี้มักเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับที่ต้นแขน หากคุณรู้สึกเช่นนี้ควรเลี่ยงการนั่งเอาแขนพาดพนักเก้าอี้
ส่วนถ้าใครรู้สึกชาเลยขึ้นมาถึงแขน อาจเป็นเพราะเส้นประสาทบาดเจ็บบริเวณรักแร้
2.4 ชาเป็นแถบตั้งแต่แขนลงไปถึงนิ้วมือ
หากเป็นอาการชาประเภทนี้ มักเกิดขึ้นจากกระดูกต้นคอเสื่อม และมีผลต่อการกดทับเส้นประสาท หากรู้สึกเช่นนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์จะดีกว่า
3. รู้สึกชาเท้า แต่ไม่รู้สึกชาที่มือ
ข้อ 2 กับ 3 จะตรงกันข้ามกัน และแน่นอนว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุที่แตกต่างกัน และมีวิธีการแก้ไขที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้
3.1 ชาหลังเท้าขึ้นมาถึงหน้าแข้ง
อาการชาประเภทนี้เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณใต้เข่าด้านนอก อาจเป็นเพราะคุณนั่งไขว่ห้าง นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบนานเกินไป ก็หลีกเลี่ยงท่านั่งเหล่านี้ และห้ามใช้อะไรรองใต้ข้อพับเข่าเวลานอน
3.2 ชาฝ่าเท้า
อาการชาประเภทนี้เกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับที่ตาตุ่มด้านในหรือในอุ้งเท้า ถ้าต้องการจะหายโดยเร็วควรเลิกท่าทางที่จะทำให้ขาชา และลดการยืนหรือเดินนานๆ หากเป็นไปได้ให้นั่งพักบ้าง
3.3 ชาทั้งเท้า
โดยรู้สึกชาที่ข้างใดข้างหนึ่ง และมักชาขึ้นมาถึงใต้เข่า อาการประเภทนี้เกิดจากเส้นประสาทได้รับความบาดเจ็บบริเวณสะโพก
3.4 ชาด้านนอกของต้นขา
อาการชาประเภทนี้มีสาเหตุมาจากเส้นประสาทจะถูกกดทับที่ขาหนีบ ถ้าอยากหายควรหลีกเลี่ยงการงอพับบริเวณสะโพก
3.5 ชาเป็นแถบจากสะโพกลงไปถึงเท้า
อาการชาประเภทนี้เกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท นับว่าเป็นอาการที่รุนแรงและหากรักษาผิดวิธีอาจจะทำให้พิการได้เลย ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน
อาการชาตามบริเวณต่างๆของร่างกายไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามกันไปได้ อีกทั้งรูปแบบการชาก็หลากหลาย บางคนอาจจะแยกไม่ออก หรือรักษาผิดวิธี จนทำให้อาการทรุดลงได้
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีที่นี่
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีที่นี่
หน้าที่เข้าชม | 1,882,961 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,612,009 ครั้ง |
เปิดร้าน | 10 มี.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |